หลักการและเทคนิคการพยาบาลการสวนปัสสาวะ
อ.มาลินี บุญเกิด
วิทยาลัยพยาบาลบราราชชนนี พระพุทธบาท
วิทยาลัยพยาบาลบราราชชนนี พระพุทธบาท
การขับถ่ายปัสสาวะเป็นกลไกธรรมชาติที่ร่างกายให้การดูผู้ป่วยปัจจุบันเน้นการสร้างเสริมสุขภาพ
มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพมาตรฐาน
ในด้านการส่งเสริมสุขภาพการขับถ่ายปัสสาวะ
พยาบาลจะต้องมีความรู้และทักษะการประเมินการขับถ่าย ปัจจัยที่มีผลต่อการขับถ่าย หากพบว่าผู้รับบริการมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย
จะต้องให้คำแนะนำส่งเสริมสุขภาพ
แต่ถ้าเกิดภาวะสุขภาพเกี่ยวกับการขับปัสสาวะออกน้อยหรือการขับถ่ายปัสสาวะ
จะต้องให้การช่วยเหลือโดยการสวนปัสสาวะ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น
กลไกการขับถ่ายปัสสาวะ
การถ่ายปัสสาวะ
หมายถึง การทำให้กระเพาะปัสสาวะว่าง โดยปฏิกิริยา การทำงานร่วมกันของระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานนอกอำนาจบังคับจิตใจ (involuntary
nervous system) กับระบบประสาทที่ทำงานอยู่ภายในอำนาจบังคับ
ของจิตใจ (Voluntary nervous) และกลไกการทำงาน ของกล้ามเนื้อ เมื่อไตทำหน้าที่กรองของเสีย
และสร้างปัสสาวะออกมาเรื่อย ๆ ส่งมาตามท่อไตปัสสาวะจากท่อไตจะไหลลงสู่กรวยไต
ลงไปที่กระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะจะเก็บรวบรวมน้ำปัสสาวะจนได้ปริมาณมากพอที่ทำให้เกิดแรงดันไปกระตุ้น
ปลายประสาทรับความรู้สึกซึ่งอยู่ที่ผนังกระเพาะปัสสาวะให้ส่งกระแสประสาทไปตามเส้นประสาท
ไขสันหลังระดับเชิงกรานคู่ที่ 2-4 เข้าสู่ไขสันหลังไปยังสมองเกิดความรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะ
แต่สามารถกลั้นปัสสาวะได้โดยสมองจะส่งกระแสประสาทกลับไปตามไขสันหลัง กระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติก
(Sympathetic) ทำงาน ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของ กระเพาะปัสสาวะคลายตัวเพื่อยืดขยายรับจำนวนปัสสาวะเพิ่มขึ้นได้อีกในขณะเดียวกันกล้าม
เนื้อหูรูดชั้นในตรงบริเวณคอคอดของกระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ต่อกับท่อปัสสาวะ จะหดตัวกลั้นไม่ให้ปัสสาวะไหลออกมา
แต่ถ้าจำนวนปัสสาวะมีมากเต็มที่จะเกิดแรงดันภายใน กระเพาะปัสสาวะไปกระตุ้นปลายประสาทรับความรู้สึกซึ่งอยู่ที่ผนังกระเพาะปัสสาวะให้ส่งกระแส
ประสาทไปตามเส้นประสาทไขสันหลัง ระดับเชิงกรานคู่ที่ 2-4 เข้าสู่ไขสันหลังไปยังสมองเกิดความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะมากขึ้นกว่าครั้งแรก
และรู้สึกว่าจะกลั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
สมองจะส่งกระแสประสาทกลับไปที่ใยประสาทไขสันหลัง
ผ่านทางระบบประสาทอัตโนมัติพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic) ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะปัสสาวะบีบตัว
กล้ามเนื้อหูรูดชั้นในและชั้นนอกคลายตัว
พร้อมกับมีการหดตัวของกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง ทำให้น้ำปัสสาวะถูกขับถ่ายออกมา
ในผู้ใหญ่ความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะจะเกิดขี้นเมื่อมีจำนวน ปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะประมาณ
150-300 มิลลิลิตร
สาเหตุความผิดปกติของการขับปัสสาวะ
1. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
เช่น มีการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะลำบาก (Dysuria)
2. การทำงานของไตไม่มีประสิทธิภาพ เช่นโรคไตวาย หรือภาวะช็อค
เลือดมาเลี้ยงไตไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้สร้างปัสสาวะได้น้อยหรืออาจจะไม่มีการสร้างปัสสาวะเลย
3. มีการตีบแคบหรือการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ
เช่น ผู้สูงอายุชายที่มีต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hypertrophy) นิ่ว การบวมอักเสบของทางเดินปัสสาวะ
4. พฤติกรรมสุขภาพ เช่น
การดื่มน้ำน้อยเกินไป การดื่มน้ำมากเกินไป
การดื่มเหล้า ชา กาแฟ การได้รับยาที่เกี่ยวข้อง
เช่น ยาขับปัสสาวะ (diuretics) ยารักษาภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive
heart failure) ดมยาสลบ/ฉีดยาเข้าเส้นประสาทไขสันหลัง
5. พยาธิสภาพของโรค เช่น
โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคเบาหวาน (Diabetes
mellitus) โรคเบาจืด (Diabetes
insipidus)
6. กล้ามเนื้อสูญเสียหน้าที่
เช่น ผู้สูงอายุกล้ามเนื้อที่ช่วยในการกลั้นปัสสาวะสูญเสีย หรือ
ความผิดปกติของระบบประสาทและไขสันหลัง
การขับถ่ายปัสสาวะเป็นกลไกธรรมชาติที่มนุษย์สามารถปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันได้เอง
แต่หากเกิดความผิดปกติของร่างกายที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้เอง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
การติดเชื้อ ความไม่สุขสบายของผู้ป่วยหรือต้องการสังเกตอาการผู้ป่วย จึงต้องมีการใส่สายสวนปัสสาวะ
ชนิดของการสวนปัสสาวะ
การใส่สายสวนปัสสาวะมี 2
วิธี คือ
1. การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว
(intermittent catheterization) เป็นการทำให้กระเพาะปัสสาวะว่างโดยใส่สายสวนปัสสาวะผ่านท่อทางเดินปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ
เพื่อระบายน้ำปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะและถอดสายสวนปัสสาวะออกเมื่อไม่มีน้ำปัสสาวะไหลออกมา
2. การใส่สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายไว้(Retained
foley’s catheter) เป็นการสอดใส่สายสวนปัสสาวะ ชนิด Foley’s
catheter ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะแล้วใส่น้ำกลั่นทำบอลลูนเพื่อตรึงสายสวนปัสสาวะให้คาไว้
ข้อบ่งชี้/เกณฑ์ของการใส่สายสวนปัสสาวะ
การใส่สายสวนปัสสาวะชนิดครั้งคราว
1. กระเพาะปัสสาวะมีจำนวนน้ำปัสสาวะเต็ม (Bladder
full) ทำให้ผู้ป่วยมีการโป่งตึงของกระเพาะปัสสาวะหรือบริเวณหัวหน่าวหลังการผ่าตัด
การได้รับอุบัติเหตุ ภายใน 6-8 ชั่วโมงแล้วไม่มีการขับถ่าย
ปัสสาวะ
2. มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
เช่น หญิงหลังคลอดอาจทำให้ตกเลือดหลังคลอด
3. ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง
กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงและมีความจำเป็นต้องเก็บปัสสาวะเพื่อส่งตรวจ
4. ต้องการประเมินดูปัสสาวะเหลือค้าง (Residual
urine) ในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อ
การใส่สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายสวนปัสสาวะไว้
1. ผู้ป่วยมีภาวะวิกฤติ
ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของไต ต้องมีประเมินจำนวนปัสสาวะทุก
2-4 ชั่วโมง เช่น ภาวะช็อค
2. ผู้ป่วยควบคุมการขับถ่ายไม่ได้/ช่วยเหลือตนเองไม่ได้และมีแผลบริเวณอวัยวะใกล้เคียง
เช่น แผลกดทับ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อหากปัสสาวะไปถูกแผล หรือเกิดการระคายเคือง
3. มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ
ทำให้ต้องมีการสวนล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่องเช่น การได้รับการผ่าตัดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
ผ่าตัดต่อมลูกหมากโตซึ่งอาจมีลิ่มเลือดอุดตัน หรือการมีตะกอนในปัสสาวะจำนวนมาก
4. เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจวินิจฉัย/รักษา
เช่นการตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ การผ่าตัดที่ใช้ระยะเวลายาวนาน
หลักการใส่สายสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะเป็นบทบาทไม่อิสระของพยาบาล
โดยสามารถปฏิบัติได้โดยอยู่ภายใต้แผนการรักษาของแพทย์ซึ่งการใส่สายสวนปัสสาวะมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
การใส่สายสวนปัสสาวะมีหลักการในการปฏิบัติดังนี้
1.การประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนสวนปัสสาวะ
การประเมินสภาพผู้ป่วยเพื่อการสวนปัสสาวะมีดังนี้
1.1. สภาพด้านจิตใจของผู้ป่วย
เช่น ความวิตกกังวล การสูญเสียภาพลักษณ์ความกลัวในการใส่
สายสวนปัสสาวะ
1.2. ประสบการณ์การใส่สายสวนปัสสาวะ
ความรู้ ความเข้าใจในการได้รับการใส่สายและการ
ดูแลตนเองเมื่อต้องใส่สายสวนปัสสาวะ
1.3. ความสามารถของผู้ป่วยในการตั้งขาจัดท่าสำหรับการสวนปัสสาวะ
ซึ่งหากผู้ป่วยมีระดับ
ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงหรือมีกำลังของกล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง
(เพศหญิง)
อาจจะต้องใช้ผู้ช่วยในการพยุงขาผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมสำหรับการสวนปัสสาวะ
1.4. ช่วงวัย
หรือ อายุของผู้ป่วย เพื่อเป็นเกณฑ์ในการเลือกขนาดของสายสวนปัสสาวะ
เช่น วัย
เด็กก็ใช้ขนาดเล็กให้เหมาะสมกับรูเปิดของท่อปัสสาวะ
1.5. พยาธิสภาพหรือโรคของผู้ป่วยที่เป็นอยู่
เช่น ท่อทางเดินปัสสาวะตีบแคบ ต่อมลูกหมากโต
อาจส่งผลให้การใส่สายสวนปัสสาวะยากขึ้น
ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์อื่นช่วยใส่ หรือเลือกสายที่มีขนาดเล็กลง
2.
การเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์
อุปกรณ์ในการใส่สายสวนปัสสาวะ มีดังนี้
1.
สายสวนปัสสาวะปราศจากเชื้อ แบ่งออกเป็นมี
2 ประเภท
1.1
สายสวนปัสสาวะชนิดครั้งคราว มีลักษณะตรงทำด้วยยางแดง
ปลายสายที่ใช้สำหรับใส่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ มีลักษณะปลายมนและมีช่องเปิดสำหรับระบายน้ำปัสสาวะ
1.2
สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายไว้ ภายในสายมี
2 ช่องสำหรับระบายน้ำปัสสาวะและช่อง
สำหรับใส่น้ำกลั่นเพื่อทำบอลลูน
สายสวนปัสสาวะมีชนิด 2 หางและ 3 หาง โดยหางที่ 1
สำหรับระบายน้ำปัสสาวะ หางที่ 2
สำหรับใส่น้ำกลั่นเพื่อทำบอลลูนให้สามารถคาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนหางที่ 3
เป็นทางสำหรับใส่สารละลายเพื่อล้างกระเพาะปัสสาวะ
การเลือกขนาดของสายเพื่อทำการสวนปัสสาวะ
ขึ้นอยู่กับช่วงวัยและพยาธิสภาพของผู้ป่วย ดังนี้
วัยเด็ก ใช้ขนาด 6-8 Fr
ผู้หญิง ใช้ขนาด 14-16 Fr
ผู้ชาย ใช้ขนาด 16-20 Fr
ผู้สูงอายุ ใช้ขนาด 18-22 Fr
หมายเหตุ 1 Fr เท่ากับ 1/3 ม.ม.
2.
ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ จำนวน
1 ชุด
3.
ชุดสวนปัสสาวะปราศจากเชื้อ โดยประกอบด้วย
ชามกลม จำนวน 2 ใบ
Forceps จำนวน 1 อัน
สำลีก้อนใหญ่ จำนวน 6-8
ก้อน
ก๊อส จำนวน 1 แผ่น
ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง จำนวน 1 ผืน
4.
น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์โดยปัจจุบันนิยมใช้
ได้แก่ Savlon
1:100 , Sterile waterและ NSS
5.
สารหล่อลื่นเพื่อลดการระคายเคืองในสอดใส่สายสวนปัสสาวะได้แก่
K-Y
jelly
6.
ถุงมือปราศปราศจากเชื้อ จำนวน 1 คู่ (สำหรับสวนปัสสาวะ )
7.
ถุงมือสะอาด จำนวน 1 คู่ (กรณีไม่สะอาดสำหรับทำความสะอาดก่อนสวน)
8.
ชามรูปไต
พร้อมถุงขยะสำหรับใส่สำลีที่ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์แล้ว
9.
ไฟฉายหรือโคมไฟกรณีที่แสงสว่างไม่เพียงพอ
10.
ผ้าสำหรับปิดตาผู้ป่วย
กรณีที่ใส่สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายไว้ให้เตรียมอุปกรณ์เพิ่มดังนี้
1.
กระบอกฉีดยาบรรจุน้ำกลั่น
ปริมาณตามที่ระบุไว้ เช่น ในผู้ใหญ่ 10-20
ซีซี ในเด็ก 3 ซีซี
2.
พลาสเตอร์สำหรับตรึงสายสวนปัสสาวะ
3.
ถุงเก็บน้ำปัสสาวะ (Urine bag)
3. หลักการเตรียมความพร้อมผู้ป่วย
ทางด้านจิตใจ
-
อธิบายให้ผู้ป่วยรับทราบและเข้าใจถึงความจำเป็นของการใส่สายสวนปัสสาวะ วิธีการใส่
ระยะเวลาและการดูแลตนเองของผู้ป่วย ขณะใส่สายสวนปัสสาวะ
- เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามหรือระบายความรู้สึก เพื่อลดความวิตกกังวลและความกลัวของผู้ป่วย
ทางด้านร่างกาย
-
กั้นม่านให้มิดชิด เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยผู้ป่วย และจัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่สามารถใส่สายสวน
ปัสสาวะได้สะดวกโดย
ผู้ชาย
จัดท่านอนหงาย (Dorsal
position) โดยการปิดตาผู้ป่วย ถอดกางเกงและใช้ผ้าจำนวน 2 ผืน คลุมร่างกาย
(drape) ผืนที่ 1 คลุมส่วนบนของร่างกายจนถึงหัวเหน่า
ผืนที่ 2 คลุมต่ำแค่องคชาตลงมาและเปิดเผยบริเวณอวัยะสืบพันธ์ภายนอก
ผู้หญิง
จัดให้อยู่ในท่านอนหงายชนเข่า (Dorsal
recumbent position) ปิดตา ห่มผ้า ถอดผ้านุ่ง จัดผ้าคลุม (drape)
เปิดเฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก การชันเข่า
ควรบอกผู้ป่วยให้วางส้นเท้าชิดกัน เท้าทั้งสองข้างห่างกันประมาณ 2
ฟุตการคลุมผ้าช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกการเป็นส่วนตัว
4. หลักการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
- ไม่เปิดเผยผู้ป่วย ควรปิดตา
กั้นม่าน คลุมผ้าให้ผู้ป่วย
- ล้างมือก่อน-หลังการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ
- ไม่เทน้ำยาชุ่มเกินไป
เวลาเช็ดจะได้ไม่ต้องบีบน้ำยาออก เพราะจะทำให้สำลีแข็ง
ควรใช้ความนุ่มของสำลีเช็ดอวัยวะสืบพันธุ์
- ไม่เช็ดซ้ำย้อนไป-มา เช็ดจากบนลงล่างเพราะอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อ
- ปฏิบัติด้วยความนุ่มนวล
- ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับอวัยวะเพศ
และใช้มือข้างที่ถนัดใช้ปากคีบสำลีทำความสะอาดอวัยวะ สืบพันธ์ ส่วนอวัยวะเพศชายให้จับตั้ง 90 องศา เพื่อที่จะทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ให้สะอาด
- เน้นการทำความสะอาดให้สะอาด
โดยไม่เกิดการปนเปื้อนเชื้อ
5. Patient Safety Goals สำหรับการใส่สายสวนปัสสาวะ
สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล
(2551) ได้เสนอแนวทางการป้องกัน CAUTI ไว้ 4
ประการ ได้แก่ การประเมินความจำเป็นที่จะต้องใส่สายสวนปัสสาวะ, การเลือกประเภทของสายสวนปัสสาวะ, การใส่สายสวนปัสสาวะ,
การดูแลระหว่างคาสายสวนปัสสาวะ, การให้ความรู้แก่ผู้ป่วย ญาติ
และเจ้าหน้าที่
1. การประเมินความจำเป็นที่จะต้องใส่สายสวนปัสสาวะ
ใส่คาสายสวนปัสสาวะต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้นหลังจากที่พิจารณาทางเลือกอื่นๆ
(เช่น condom, intermittent catheterization) แล้ว,
ประเมินความจำเป็นที่จะต้องใส่สายสวนปัสสาวะต่อไปเป็นระยะๆ
และถอดสายสวนปัสสาวะออกเร็วที่สุด
(ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหนักจะมีโอกาสใส่สายสวนโดยไม่จำเป็นมากกว่าในหอผู้ป่วยทั่วไป)
2. การเลือกประเภทของสายสวนปัสสาวะ
การเลือกประเภทของสายสวนปัสสาวะขึ้นกับการประเมินผู้ป่วยและระยะเวลาที่คาดว่าจะใส่สายสวน,
เลือกใช้สายสวนปัสสาวะที่มีขนาดเล็กที่สุดที่จะให้ปัสสาวะไหลได้สะดวก
3. การใส่สายสวนปัสสาวะ
ผู้ใส่สายสวนปัสสาวะต้องได้รับการฝึกอบรมและมีทักษะเพียงพอ,
ล้างมือให้สะอาดก่อนใส่สายสวน, ใช้ aseptic technique ที่ถูกต้อง,
ทำความสะอาด urethral meatus ด้วย sterile normal
saline, ใช้สารหล่อลื่นที่เหมาะสมจากภาชนะที่ออกแบบสำหรับใช้ครั้งเดียว
4. การดูแลระหว่างคาสายสวนปัสสาวะ
- ต่อสายสวนปัสสาวะกับ sterile closed urinary drainage system, ตรึงสายสวนให้เหมาะสม
- รักษาระบบระบายปัสสาวะให้เป็นระบบปิด
- ล้างมือและใส่ถุงมือสะอาดก่อนที่จะสัมผัสสายสวนปัสสาวะ
และล้างมือหลังจากถอดถุงมือ
- เก็บตัวอย่างปัสสาวะจากช่องที่ออกแบบไว้ (sampling port) โดยใช้ aseptic
technique
- จัดวางตำแหน่งของถุงเก็บปัสสาวะให้ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะ
โดยไม่สัมผัสกับพื้น
-
ระบายปัสสาวะออกจากถุงเก็บปัสสาวะบ่อยพอที่จะให้ปัสสาวะไหลได้สะดวกและไม่ไหลย้อนกลับ
โดยใช้ภาชนะสะอาดที่แยกเฉพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายและหลีกเลี่ยงอย่าให้ urinary
drainage tap สัมผัสกับภาชนะที่ใช้รับปัสสาวะ
-
ไม่เติม antiseptic หรือ
antimicrobial solutions ในถุงเก็บปัสสาวะ
-
ไม่เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะโดยไม่จำเป็น
หรือไม่เปลี่ยนเป็น routine
-
ดูแล meatal hygiene ประจำวัน
-
ไม่ควรทำ bladder
irrigation
6.
วิธีปฏิบัติการใส่สายสวนปัสสาวะ
การสวนปัสสาวะชนิดคาสายปัสสาวะไว้
การสวนปัสสาวะชนิดคาไว้มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
1.
ตรวจสอบชื่อ-สกุลและชนิดของการสวนปัสสาวะจากคำสั่งการรักษา
เพื่อจัดเตรียม
อุปกรณ์ให้ถูกต้องและเหมาะสม
2.
พยาบาลแนะนำตนเอง
สอบถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความจำเป็นในการ
สวนปัสสาวะ
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยขณะสวนปัสสาวะ เพื่อช่วยลดความกลัว
ความวิตกกังวลและได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย
3.
ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนการสวนปัสสาวะเพื่อประเมินความสามารถของผู้ป่วยในการจัด
ท่านอนสำหรับสวนปัสสาวะ
4.
ล้างมือให้สะอาด
เพื่อลดโอกาสเกิดการแพร่กระจายเชื้อ และ จัดเตรียมเครื่องใช้มาวางที่
เตียงผู้ป่วยเพื่อความพร้อมในการสวนปัสสาวะ
5. ปิดประตูหรือกั้นม่านให้มิดชิด
เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยผู้ป่วย และใช้ผ้าปิดตาผู้ป่วย
6. จัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ โดยใช้โคมไฟหรือไฟฉายส่องไปที่อวัยวะสืบพันธุ์
เพื่อให้
สามารถมองเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะ
7. ผู้ทำยืนข้างเตียงผู้ป่วยข้างที่ถนัด เช่น ผู้ที่ถนัดมือขวาควรเข้าข้างขวาของผู้ป่วย
ผู้ที่ถนัดมือซ้ายควรเข้าข้างซ้ายของผู้ป่วย
จัดท่าที่ใช้ในการสวนปัสสาวะให้เหมาะสมเพื่อให้สามารถมองเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะได้ชัดเจน
ผู้ชาย
จัดท่านอนหงาย (Dorsal
position) โดยการปิดตาผู้ป่วย ถอดกางเกงและใช้ผ้าจำนวน 2 ผืน
คลุมร่างกาย (drape) ผืนที่ 1 คลุมส่วนบนของร่างกายจนถึงหัวเหน่า ผืนที่ 2
คลุมต่ำแค่องคชาตลงมาและเปิดเผยบริเวณอวัยะสืบพันธ์ภายนอก
ผู้หญิง
จัดให้อยู่ในท่านอนหงายชนเข่า (Dorsal
recumbent position) ปิดตา ห่มผ้า ถอดผ้านุ่ง จัดผ้าคลุม (drape)
เปิดเฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก การชันเข่า
ควรบอกผู้ป่วยให้วางส้นเท้าชิดกัน เท้าทั้งสองข้างห่างกันประมาณ 2
ฟุตการคลุมผ้าช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกการเป็นส่วนตัว
8.
ใส่ถุงมือสำหรับทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์
9.
นำชุดชำระอวัยวะสืบพันธุ์วางไว้ระหว่างขาของผู้ป่วยใกล้กับอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเปิด
ผ้าห่อออกทั้ง 4 มุม ใช้มือข้างที่ถนัดหยิบ
Forceps
คีบสำลีทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกภายนอกให้สะอาด
วิธีการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ของเพศหญิงและเพศชาย
มีดังนี้
เพศหญิง
ก้อนที่ 1
ทำความสะอาดบริเวณหัวหน่าว
ก้อนที่ 2 ทำความสะอาดบริเวณแคมนอกด้านไกลตัว
ก้อนที่ 3 ทำความสะอาดบริเวณแคมนอกด้านใกล้ตัว
ก้อนที่ 4 ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดแหวกและทำความสะอาดบริเวณแคมในด้านไกลตัว
ก้อนที่ 5 ทำความสะอาดบริเวณแคมในด้านใกล้ตัว
ก้อนที่ 6 ทำความสะอาดบริเวณรูเปิดท่อทางเดินปัสสาวะและเช็ดลงที่ทวารหนัก
เพศชาย
ก้อนที่ 1 ทำความสะอาดบริเวณรูเปิดอวัยวะสืบพันธ์
ก้อนที่ 2 ทำความสะอาดโดยเช็ดบริเวณองคชาตวนจากบนลงล่าง
ก้อนที่ 3 ทำความสะอาดบริเวณหัวเน่า
ก้อนที่ 4 ทำความสะอาดบริเวณอัณฑะด้านไกลตัว
ก้อนที่ 5 ทำความสะอาดบริเวณอัณฑะด้านใกล้ตัว
ก้อนที่ 6
ทำความสะอาดบริเวณอัณฑะด้านล่างและเช็ดลงที่ทวารหนัก
หลังจากนั้นให้ถอดถุงมือออก
และเก็บชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ออกจากระหว่างขาผู้ป่วย (ทำในกรณีที่ประเมินสภาพแล้วมีแนวโน้มในการติดเชื้อ หากไม่ทำความสะอาดก่อนปูผ้า /กรณีที่รู้สึกตัว
เคลื่อนไหวร่างกายสะดวก
ให้ลุกไปทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ที่ห้องน้ำได้/หากประเมินสภาพแล้วผู้ป่วยได้รับการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์อย่างสม่ำเสมอและสะอาด
ให้ข้ามขั้นตอนนี้และทำในข้อ 10 ได้
10.
ล้างมือให้สะอาด นำชุดสวนปัสสาวะวางไว้ระหว่างขาของผู้ป่วยใกล้กับอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
เปิดผ้าห่อ
ออกทั้ง 4 มุม ด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ เพื่อให้มีพื้นที่สะอาดไม่เกิดการปนเปื้อน ฉีกซองสายสวนปัสสาวะ
วางไว้ในชุดสวนปัสสาวะกระทำกิจกรรมดังกล่าวด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ (หากไม่ฉีกใส่ Set สามารถฉีกห่อแล้วนำไปห้อยไว้ที่เตียงและปลายสายให้อยู่ใกล้อวัยวะสืบพันธ์เพื่อเตรียมความพร้อมในการต่อสาย)
11. ใส่ถุงมือปราศจากเชื้อ 1 ข้าง เพื่อหยิบอุปกรณ์ในชุดสวนปัสสาวะ
วางบนผ้าห่ออุปกรณ์โดยยึดหลักปราศจากเชื้อ
ได้แก่ ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง ก๊อส และใช้มือที่ยังไม่ได้ใส่ถุงมือหยิบขวดน้ำยาระงับเชื้อเทลงบนสำลี
ในชามกลมพอให้สำลีเปียกชุ่ม บีบสารหล่อลื่นลงบนก็อซ
12. ใส่ถุงมือปราศจากเชื้ออีก 1 ข้างด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ
หยิบผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง คลี่ผ้า
สี่เหลี่ยมเจาะกลางคลุมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้ช่องเจาะกลางอยู่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ
13. หยิบสายสวนปัสสาวะ
เลือกขนาดให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ทาปลายสายสวนปัสสาวะด้วยสาร
หล่อลื่นในผู้หญิงยาว 1-2 นิ้ว ในผู้ชายยาว 6-7 นิ้ว
(ระวังอุดรูที่ปลายสายสวนปัสสาวะ)วางไว้ในชามกลมสำหรับสวนปัสสาวะ สารหล่อลื่นช่วยลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บบริเวณท่อปัสสาวะ
14. หยิบชามรูปไต (สำหรับใส่สำลีที่ใช้แล้ว)
วางไว้ใกล้ผู้ป่วย
เพื่อไม่ให้เกิดการข้ามกรายของสะอาดขณะทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
15. ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกโดย
ผู้หญิง
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกจนถึงแคมใน
ใช้นิ้วมือข้างที่ไม่ถนัดแหวกแคมในให้กว้างและยกขึ้นจะเห็นรูเปิดของท่อปัสสาวะชัดเจน
แล้วใช้มือข้างที่ถนัดจับ Forceps
คีบสำลีเช็ดตรง รูเปิดของท่อปัสสาวะ
และแหวกค้างไว้จนกระทั่งสอดสายสวนปัสสาวะ และมีน้ำปัสสาวะไหลออกมา
อย่าลืมว่ามือที่ใช้แหวกแคมนี้ไม่ปลอดเชื้ออีกต่อไป
เพื่อระวังมือสัมผัสก่อให้เกิดการปนเปื้อนเครื่องใช้ที่ปลอดเชื้อ
ผู้ชาย ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับองคชาตตั้งขึ้นทำมุม 90
องศา กับร่างกายแล้วใช้มือข้างที่ถนัดจับ Forceps คีบสำลีเช็ดบริเวณรูเปิดของท่อปัสสาวะ
เช็ดวนออกมาด้านนอกแล้วเช็ดจากปลายองคชาตลงมา
16. ใช้ Forceps เลื่อนชามที่ใส่สายปัสสาวะวางไว้บริเวณใกล้ระหว่างขาผู้ป่วยระมัดระวังการปนเปื้อนเชื้อ ใช้มือข้างที่ถนัดจับสายสวนปัสสาวะ ปลายอีกข้างหนึ่งวางไว้ในชามกลม
17.
บอกให้ผู้ป่วยหายใจเข้า-ออกยาว ๆ สอดสายสวนปัสสาวะเข้าไปในรูเปิดของท่อปัสสาวะในผู้หญิงสอดลึกอย่างน้อย
2 - 3 นิ้ว ผู้ชายสอดลึก 6 - 8 นิ้ว และดูการไหลของปัสสาวะ จนมีปัสสาวะไหลลงมาสู่ชามกลม
แสดงว่าปลายสายอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ถ้าพบว่าขณะใส่สายสวนมีแรงต้าน
โดยไม่ใช่แรงดันสายสวนปัสสาวะ ควรบอกให้ผู้ป่วยหายใจยาว ๆ แล้วค่อย ๆ
หมุนสายสวนปัสสาวะอย่างมือเบาขณะสอดใส่สายเข้าไป
ถ้าไม่มีปัสสาวะไหลออกมาภายใน 1 - 2 นาที
ให้ตรวจสอบดูว่าปลายสายเข้าไปในช่องคลอดหรือไม่ ถ้าใช่ ให้ถอดสายสวนปัสสาวะออก
และทำการสวนปัสสาวะใหม่ด้วยใช้สายสวนปัสสาวะเส้นใหม่
18. ภายหลังที่ปัสสาวะไหลดี สอดสาย Foley’s catheter เข้าไปอีก
1 นิ้ว เพื่อให้แน่ใจว่า
ปลายสายเข้าอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ และใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับสายไว้ให้แน่น
เลื่อนปลายสายไปใกล้อวัยวะสืบพันธ์เพื่อเตรียมใส่น้ำกลั่น (ถ้าต้องการเก็บปัสสาวะส่งตรวจให้ผู้ช่วยนำกระป๋องเก็บปัสสาวะมารองรับน้ำปัสสาวะ)
19.
ใส่น้ำกลั่นเข้าทางหางที่เป็นแถบสี โดยใส่ช้า ๆ สังเกตผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยบ่นรำคาญหรือเจ็บปวดหลังใส่น้ำกลั่นให้รีบเอาน้ำออกเพราะอาจจะอยู่ในท่อทางเดินปัสสาวะ
20. ค่อย ๆ ดึงสายออกมาเบา ๆ เพื่อลดการดึงรั้งของสายบริเวณคอปัสสาวะ
พร้อมทั้งต่อสายสวนปัสสาวะกับถุงเก็บปัสสาวะด้วยเทคนิคปลอดเชื้อ โดยสอดสายถุงเก็บปัสสาวะใต้ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางแล้วต่อกับสายสวนปัสสาวะ
พร้อมทั้งเก็บอุปกรณ์สวนปัสสาวะออกจากระหว่างขาผู้ป่วย
21.
ตรึงสายสวนปัสสาวะด้วยพลาสเตอร์ไว้ที่หน้าขา (ผู้หญิง) ส่วนผู้ชายตรึงสายสวนปัสสาวะไว้ที่หน้าท้องน้อยและโคนขาในผู้ชาย
22.
แขวนถุงปัสสาวะให้อยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะ ควรสังเกตดูการไหลของปัสสาวะบ่อยๆพร้อมกับตรวจดูที่สายสวนปัสสาวะ และสายท่อต่อไม่ให้หักพับงอ หรือผู้ป่วยนอนทับ
23. ถอดถุงมือ จัดเสื้อผ้า นำผ้าปิดตาออก จัดท่าให้อยู่ในท่าที่สุขสบาย
24.
แนะนำการปฏิบัติตนในการดูแลตนเองเมื่อผู้ป่วยได้รับใส่สายสวนปัสสาวะ
25.
เก็บอุปกรณ์ แยกขยะทั่วไป ติดเชื้อทิ้งให้เรียบร้อย
26.
ล้างมือให้สะอาด
27.
บันทึกทางการพยาบาลเกี่ยวกับการสวนปัสสาวะให้ครอบคลุมรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาที่สวน
ลักษณะสี จำนวนและสิ่งผิดปกติ
การสวนปัสสาวะเป็นแบบครั้งคราว
(intermittent catheterization)
มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีการปฏิบัติการใส่สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายปัสสาวะไว้
ข้อ 1- 17
18. ใช้มือที่แหวกแคมเล็ก
(กรณีผู้หญิง) /ใช้มือจับองคชาต(กรณีผู้ชาย) เลื่อนมาจับสายสวนปัสสาวะไว้อยู่กับที่ในกรณีต้องการเก็บปัสสาวะส่งตรวจ
โดยให้ใช้กระป๋องเก็บปัสสาวะรองรับจากปลายสายสวนปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะหยุดไหลแล้วใช้มือกดเบา ๆ
บนผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลางบริเวณเหนือหัวหน่าวจนแน่ใจว่าไม่มีปัสสาวะ
เพื่อให้ปัสสาวะไหลออกให้หมดจากกระเพาะปัสสาวะ
19. ค่อย ๆ ดึงสายสวนปัสสาวะออกวางไว้ในชามกลม
ในผู้ชายให้จับองคชาตตั้งขึ้นทำมุม 90
องศากับร่างกายก่อนดึงสายสวนออก
ในผู้หญิงสามารถดึงออกได้ หากดึงออกมาแล้วมีปัสสาวะไหลออกมาให้จับสายสวนปัสสาวะค้างไว้ที่เดิมก่อนและรอจนกระทั่งไม่มีปัสสาวะจึงค่อยดึงสายออก
20. ใช้สำลีซับบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้ง
นำเครื่องใช้ออกจากเตียงผู้ป่วย ถอดถุงมือ จัดเสื้อผ้าและให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่สบาย
ซักถามอาการผู้ป่วย เปิดประตูหรือม่าน
21.
สังเกตลักษณะของปัสสาวะที่ผิดปกติและตวงปัสสาวะที่ได้จากการสวนปัสสาวะ เก็บอุปกรณ์
แยกขยะทั่วไป ติดเชื้อทิ้งให้เรียบร้อย
22. ล้างมือให้สะอาด
7. การดูแลผู้ป่วยขณะที่ใส่สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายไว้
การใส่สายสวนปัสสาวะชนิดคาสายไว้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
การดูแลผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
1. ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกและสายสวนปัสสาวะบริเวณรอบรูเปิดของหลอดปัสสาวะอย่างน้อยวันละ
2 ครั้ง เช้า – เย็น หรือหลังการขับถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
การทำความสะอาดให้ใช้หลักปราศจากเชื้อ (Aseptic technique) และขั้นตอนการทำความสะอาดคล้ายกับวิธีการทำความสะอาดเพื่อใส่สายสวนปัสสาวะ
แต่เน้นการเช็ดที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะและสายสวนปัสสาวะเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ
2. แนะนำผู้ป่วยให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ประมาณ 1,500 -2,000 มิลลิลิตร หากไม่มีข้อจำกัด
และการเคลื่อนย้ายหรือการลุกเดินต้องให้ถุงรองรับน้ำปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะ
หากสูงกว่านี้จะทำให้น้ำปัสสาวะไหลย้อนกลับ ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อ
3. ดูแลระบบทางเดินปัสสาวะให้อยู่ในระบบปิด
ห้ามถอดสายสวนปัสสาวะออกจากบริเวณที่เชื่อมกับถุงรองรับน้ำปัสสาวะ
4.
ดูแลป้องกันการอุดตันของน้ำปัสสาวะ โดยดูแลไม่ให้สายหักพับงอ
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีปัสสาวะเป็นตะกอน หนอง ควรมีการบีบรีดสายสวนปัสสาวะเป็นระยะ ๆ
ในผู้ป่วยที่มีปัสสาวะเป็นเลือด เช่นผู้ป่วยหลังการผ่าตัดต่อมลูกหมากโต
อาจจะต้องมีการล้างกระเพาะปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการ
อุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ
5. หากน้ำปัสสาวะเต็มถุงรองรับน้ำปัสสาวะ
และต้องการที่จะเทออกพยาบาลต้องมีการล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการเทน้ำปัสสาวะออก
ควรใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์บริเวณสายที่เทน้ำปัสสาวะออก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ
6. ระมัดระวังการเลื่อนเข้า
– ออกของสายสวนปัสสาวะ หรือการดึงรั้งของสายสวนปัสสาวะ
โดยการใช้พลาสเตอร์ตรึงสายสวนปัสสาวะไว้ตลอดเวลาและไม่ควรห้อยถุงรองรับน้ำปัสสาวะไว้ที่ไม้กั้นเตียง เพราะหากมีการดึงไม้กั้นเตียงขึ้น – ลง อาจทำให้มีการดึงรั้งจนเกิดการเลื่อนหลุดของสายสวนปัสสาวะได้
8. วิธีการนำสายสวนปัสสาวะชนิดคาสายสวนปัสสาวะออก
การใส่สายสวนปัสสาวะไว้นานจะทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนคือการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ
เมื่อปัญหาหรือพยาธิสภาพของผู้ป่วยหมดสิ้นแล้ว
ถ้าหากต้องการนำสายสวนปัสสาวะชนิดคาสายไว้ออก
มีการปฏิบัติดังนี้
1. ประเมินสภาพความสามารถในการขับถ่ายปัสสาวะโดยการ
Clamp สายสวนปัสสาวะประมาณ 4 ชั่วโมง
และดูกระเพาะปัสสาวะมี full bladder หรือผู้ป่วยมีการการปวดปัสสาวะหรือไม่
จึงคลาย Clamp ออก ทำประมาณ 2-3 ครั้งแล้ว
จึงถอดสายสวนปัสสาวะออก
2. แจ้งผู้ป่วยให้ทราบถึงเหตุผลที่ต้องนำสายสวนปัสสาวะออก
3.
ล้างมือให้สะอาดและจัดเตรียมอุปกรณ์ดังนี้
- ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์
- น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์
- ถุงมือ
- Syring จำนวน 10 ซีซี สำหรับดูดน้ำกลั่นออก
- ชามรูปไต/ถุงขยะ
4. กั้นม่านให้มิดชิดและนำ
Syring ต่อเข้าบริเวณปลายสายสวนปัสสาวะที่สำหรับใส่น้ำกลั่น แล้วดูดน้ำกลั่นออกให้หมด
ซึ่งหากดูดออกหมดแล้วลูกบอลลูนที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะจะแฟบลง แล้วค่อยๆ
ดึงสายสวนปัสสาวะออกช้า ๆ แล้วนำสายสวนปัสสาวะมาใส่ไว้ในชามรูปไตหรือขยะ
5.
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ให้สะอาดหลังถอดสายสวนปัสสาวะ
6.
หากผู้ป่วยต้องมีการบันทึกสารน้ำเข้าออกร่างกาย
ให้บันทึกจำนวนน้ำปัสสาวะที่อยู่ในถุงปัสสาวะก่อนนำไปทิ้ง
7. แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ
หากไม่มีข้อจำกัดและกระตุ้นให้ขับถ่ายปัสสาวะเองภายใน 6-8 ชั่วโมงหากภายใน
6 ชั่วโมงผู้ป่วยยังไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะ
ให้นำกระเป๋าน้ำแข็งวางที่กระเพาะปัสสาวะ
และหากไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะ อาจจะต้องพิจารณาสวนปัสสาวะใหม่อีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น